เลือดออกตามไรฟันในเวลาที่แปรงฟัน หรือบ้วนปากแล้วมีเลือดออกมาด้วย ดูเหมือนจะเป็นปัญหาเล็กน้อย แต่รู้หรือไม่ว่าเลือดออกตามไรฟันเป็นสัญญาณจากร่างกายที่บ่งบอกว่ามีบางอย่างในช่องปากที่ผิดปกติ! บทความนี้จะพาทุกคนไปดูสาเหตุของปัญหาเลือดออกตามไรฟัน หรือที่คุ้นเคยกันในชื่อโรคลักปิดลักเปิด พร้อมทั้งวิธีการรักษาและป้องกัน เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีที่สุด และเรียกรอยยิ้มที่สดใสกลับคืนมา
เลือดออกตามไรฟัน เกิดจากอะไร
เลือดออกตามไรฟัน หรือ โรคลักปิดลักเปิด (Scurvy) เป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพเหงือกและฟัน โดยเฉพาะโรคเหงือกอักเสบ หรือขาดวิตามินซี ซึ่งวิตามินซีมีความจำเป็นต่อการสังเคราะห์คอลลาเจนในร่างกายมนุษย์ นอกจากนี้ อาการเลือดออกตามไรฟันเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบและโรคทางช่องปากอื่น ๆ
หากมีข้อสงสัยว่าอาการเลือดออกตามไรฟันเกิดจากการขาดวิตามินเท่านั้นหรือไม่? บอกได้เลยว่าแท้จริงแล้วปัญหานี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น
- ปัญหาหินปูน จากการสะสมของคราบจุลินทรีย์ภายในช่องปาก
- นอกจากวิตามินซีแล้ว หากขาดวิตามินเค ก็ส่งผลให้เกิดอาการเลือดออกตามไรฟันด้วยเช่นกัน
- การแปรงฟันผิดวิธี หรือทำความสะอาดภายในช่องปากอย่างไม่เหมาะสม
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือน
- การใช้ยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด, ยาสเตียรอยด์ หรือยาอื่น ๆ ที่ส่งผลกระทบหรือผลข้างเคียงต่อเหงือก
- การสูบบุหรี่และใช้สารเสพติด
- โรคเบาหวาน เนื่องจากทำให้เกิดการอักเสบในเหงือกได้ง่ายยิ่งขึ้น
- โรคฮีโมฟีเลีย ซึ่งเกิดความผิดปกติของการแข็งตัวของเลือด
วิธีรักษาและป้องกันเลือดออกตามไรฟันที่เห็นผลจริง
หากใครที่กังวลเกี่ยวกับปัญหาเลือดออกตามไรฟัน และต้องการวิธีรักษาและป้องกัน บอกได้เลยว่าบทความนี้มีประโยชน์อย่างแน่นอน เพราะเราจะมาแชร์วิธีรักษาและป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ซึ่งเป็นวิธีที่เห็นผลจริงและมีประสิทธิภาพมากที่สุด!
ดูแลสุขภาพช่องปาก
เริ่มจากวิธีดูแลสุขภาพช่องปากง่าย ๆ ด้วยการแปรงฟันอย่างถูกวิธี และใช้ยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ร่วมกับการใช้ไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟัน เพื่อช่วยลดการสะสมของคราบต่าง ๆ และใช้น้ำยาบ้วนปาก เพื่อความสะอาดอย่างทั่วถึง ที่สำคัญ ควรจะแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง โดยเฉพาะก่อนนอน
ใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหาร
การทานอาหารมีผลต่อร่างกายโดยรวม รวมถึงสุขภาพช่องปากและฟันด้วยเช่นกัน ซึ่งหากว่าใครที่กำลังประสบปัญหาเลือดออกตามไรฟัน ควรจะเพิ่มวิตามินซี โดยการทานผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น ส้ม ฝรั่ง หรือมะละกอ เพื่อเป็นการเสริมสร้างเนื้อเยื่อเหงือก และควรลดหรือหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะจะทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตมากขึ้น นอกจากนี้ ควรดื่มน้ำให้มากขึ้น เพื่อล้างคราบแบคทีเรียที่สะสมอยู่ภายในช่องปาก
เสริมวิตามินให้ร่างกาย
ในกรณีที่เลือดออกตามไรฟันเพราะขาดวิตามิน หรือเรียกว่า ‘โรคลักปิดลักเปิด’ ควรจะเสริมวิตามินซี โดยการรับประทานอาหารเสริม หรือเพิ่มปริมาณวิตามินซีในอาหาร ได้แก่ ผัก ผลไม้ เช่น ส้ม มะขามป้อม พลัม กูสแบรี่ แบลคเคอเรนท์ พริกหวาน และกะหล่ำดอก เป็นต้น
พฤติกรรมในชีวิตประจำวัน
พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน ส่งผลทำให้เกิดเลือดออกตามไรฟัน เช่น การสูบบุหรี่ หรือแม้แต่ความเครียดก็มีผลต่ออาการดังกล่าวเช่นเดียวกัน จึงควรหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้สุขภาพเหงือกแย่ลงและส่งผลต่อการอักเสบของเหงือก หรือในกรณีที่มีความเครียดมากเกินไป ควรหากิจกรรมหรือพักผ่อน เพื่อเป็นการผ่อนคลาย เพราะความเครียดสามารถส่งผลในทางลบต่อสุขภาพช่องปากและฟันได้
บริการทางทันตกรรม
หากรู้สึกว่าในชีวิตประจำวันทั่วไป มีการดูแลสุขภาพช่องปากของตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว แต่ยังมีความกังวลว่าจะเกิดปัญหาภายในช่องปากและฟัน วิธีที่ดีที่สุดสำหรับการดูแลสุขภาพภายในช่องปาก คือการพบทันตแพทย์เพื่อขูดหินปูนและตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน เนื่องจากหินปูนที่สะสมใต้เหงือก เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เลือดออกตามไรฟันได้ด้วยเช่นกัน
สำหรับใครที่ต้องการตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน ไม่ว่าจะเป็น การตรวจสุขภาพช่องปากทั่วไป การขูดหินปูน หรือการรักษาทางทันตกรรมต่าง ๆ โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่และทีมงานที่มีความรู้ ความสามารถในการให้คำแนะนำ คำปรึกษา สามารถติดต่อ Dental Design Center คลินิกทำฟัน พัทยา ที่พร้อมดูแลอย่างใส่ใจในทุกขั้นตอน
บทสรุป
หากแปรงฟันหรือบ้วนปากแล้วมีเลือดออกตามไรฟันถือเป็นสัญญาณจากร่างกายที่ไม่ควรมองข้าม เนื่องจากเป็นอาการเริ่มต้นของโรคเหงือกอักเสบ รวมถึงปัญหาสุขภาพในช่องปากอื่น ๆ ที่อาจนำไปสู่โรคร้ายแรง
ซึ่งสำหรับการรักษาและป้องกันเลือดออกตามไรฟันที่ดีที่สุด คือ การดูแลสุขอนามัยในช่องปาก รวมถึงการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เลือกอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วนมากที่สุด เมื่อร่างกายได้รับสารอาหารครบถ้วน ระบบต่าง ๆ ของร่างกายก็จะสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ