ฟอกสีฟัน
การฟอกสีฟัน หรือการฟอกฟันขาวนั้นจัดอยู่ในประเภทของทันตกรรมความงาม ในปัจจุบันได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากรอยยิ้มที่สวยงามและสดใส มักทำให้เกิดความมั่นใจ เสริมสร้างบุคลิกภาพ และสร้างโอกาสให้กับเจ้าของรอยยิ้มอยู่เสมอ แต่การที่มีรอยยิ้มที่สวยงามนั้น ไม่ใช่มีเพียงแค่รูปฟันเรียงตัวสวยงามเท่านั้น แต่การที่มีฟันดูขาวสะอาดตาก็ถือเป็นอีกหนึ่งองค์ประกอบที่จะทำให้รอยยิ้มของคุณนั้นเป็นที่น่าประทับใจ
การฟอกสีฟัน จะทำโดยการใช้น้ำยาฟอกสีฟัน ไปทำปฏิกิริยากับสารที่มีภายในฟัน ซึ่งทำให้มีการเปลี่ยนแปลงของเม็ดสีภายในฟัน ทำให้ฟันของคุณดูขาวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ แต่อย่างไรก็ตามทั้งนี้ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของฟันแต่ละคน ดังนั้นจึงไม่สามารถกำหนดระดับความขาวได้อย่างชัดเจน
การที่ฟันจะเปลี่ยนสีได้ขาวขึ้นมากน้อยแค่ไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัย คือ ปัจจัยภายนอก ได้แก่ บุหรี่ เครื่องดื่ม สีของอาหาร และปัจจัยภายใน ได้แก่ การสะสมของสารมีสีในเนื้อฟันในช่วงสร้างฟันหรือฟันตาย
กระบวนการฟอกสีฟันหรือฟอกฟันขาว ทันตแพทย์จะใช้น้ำยาฟอกสีฟันที่มี ไฮโดรเจนเพอร์ออกไซด์หรือคาร์บาไมด์เพอร์ออกไซด์ความเข้มข้นสูงป้ายลงผิวบนฟัน จากนั้นจะฉายแสง Cool Light LED หรือเลเซอร์ เพื่อกระตุ้นให้น้ำยาฟอกสีฟันเกิดการแตกตัวแทรกซึมผ่านชั้นผิวเคลือบฟันเข้าไปขจัดเม็ดสีในเนื้อฟัน โดยเฉพาะสีเหลือง ซึ่งจะทำให้ฟันขาวขึ้น โดยที่ไม่ทำร้ายชั้นผิวเคลือบฟัน
การฟอกสีฟัน เหมาะกับใคร
การฟอกสีฟัน หรือ ฟอกฟันขาว เหมาะกับทุกคน โดยเฉพาะคนในกลุ่มดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ประกอบอาชีพที่ต้องอาศัยบุคลิกภาพที่ดี เน้นการยิ้ม การพูดคุย การเจรจากับผู้อื่น
- คนที่มีปัญหาเรื่องสีฟัน เช่น ฟันมีสีดำ คล้ำ สีเหลือง เนื้อฟันไม่ขาวใส
- ผู้ที่ชื่นชอบดื่มชา กาแฟ หรือสูบบุหรี่ อันเป็นสาเหตุทำให้เกิดคราบหรือสีฟันดูหมองลงได้
- คนที่ใช้ยาปฏิชีวนะบางตัวจที่อาจส่งผลให้มีกระดูกและฟันไม่สมบูรณ์ ฟันเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีเทาคล้ำได้
ใครบ้างที่ไม่ควรฟอกสีฟัน
- คุณแม่ที่อยู่ระหว่างการตั้งครรภ์หรือคลอดแล้วแต่ยังต้องให้นมบุตร เนื่องจากในการฟอกสีฟันจะต้องมีการฉายแสง LED ซึ่งแสงนี้เองอาจรบกวนลูกน้อยในครรภ์ได้
- ผู้ที่กำลังมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือก เหงือกอักเสบ และเหงือกร่น รวมถึงปริทันต์อื่นๆ เพราะอาจมีการรั่วซึมของน้ำยาลงไปใต้เหงือก ซึ่งอาจเป็นเหตุให้เกิดอาการเสียวฟันอย่างรุนแรง หรืออาการโรคเหงือกที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น จึงควรรักษาโรคดังกล่าวให้หายเสียก่อน
- คนที่มีอาการเสียวฟันอยู่ก่อนแล้ว หากทำการฟอกฟันขาวอาจทำให้มีอาการเสียวฟันเพิ่มขึ้น
- ผู้ที่ผ่านการทำฟันบางอย่างที่บริเวณฟันหน้า เช่น อุดฟัน ซ่อมคอฟัน เคลือบฟันหรือวีเนียร์ และครอบฟัน จะไม่สามารถฟอกสีฟันได้ เนื่องจากน้ำยาที่ใช้จะทำปฏิกิริยากับเนื้อฟันแท้เท่านั้น
- คนที่กำลังจัดฟันอยู่ เพราะหากฟอกสีฟันตอนที่ยังมีเครื่องมือติดอยู่ น้ำยาจะไม่สามารถสัมผัสกับฟันได้ทั้งหมด จึงทำให้ฟันขาวไม่ทั่วถึง
- ผู้ที่มีอายุน้อยกว่า 16 ปี ยังไม่ควรฟอกสีฟันเนื่องจากเส้นประสาทและโพรงประสาทภายในฟันยังมีขนาดใหญ่อยู่ จึงอาจเกิดการเสียวฟันและระคายเคืองง่ายกว่าผู้ใหญ่
ฟอกสีฟัน ช่วยให้ฟันขาวขึ้นจริงไหม ขาวแค่ไหน
การฟอกสีฟันช่วยให้ฟันขาวขึ้นได้จริง โดยผลลัพธ์จากการฟอกสีฟันจะอยู่ได้ยาวนานประมาณ 6 เดือน-1 ปี ขึ้นอยู่กับลักษณะและระดับสีเดิมของฟัน น้ำยาฟอกสีฟันรวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้ และการดูแลการรักษาสุขภาพช่องปากของแต่ละบุคคล อย่างการเลือกรับประทานอาหาร เครื่องดื่ม รวมถึงพฤติกรรมการสูบบุหรี่ ซึ่งจะสามารถรักษาสีฟันให้ขาวได้นานยิ่งขึ้น
นอกจากการฟอกสีฟันที่กล่าวมา การทำวีเนียร์หรือเคลือบฟันขาว ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถแก้ปัญหาฟันมีสีดำ คล้ำ ฟันเหลือง ฟันไม่ขาวสดใสได้เช่นเดียวกัน โดยการทำวีเนียร์หรือเคลือบฟันขาวนี้จะใช้การติดแผ่นเซรามิกที่มีขนาดบางและเล็ก รูปร่างใกล้เคียงกับฟัน ติดไว้บริเวณด้านหน้าของฟัน ซึ่งจะช่วยให้ฟันดูสวย และขาวขึ้นในทันที ที่สำคัญสามารถเลือกระดับความขาวของสีฟันได้ตามต้องการอีกด้วย
อาการหลังฟอกสีฟัน
หลังจากฟอกสีฟันแล้ว อาจมีอาการเสียวฟัน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่ด้วยเทคโนโลยีการฟอกสีฟันมีการพัฒนามากขึ้น ทำให้การเสียวฟันเกิดขึ้นน้อยลง โดยทั่วไปแล้วอาการเสียวฟันนี้จะหายเองได้ภายใน 48 ชั่วโมง
การเตรียมตัวก่อนฟอกสีฟัน
- ทันตแพทย์จะทำการตรวจฟัน และเหงือกของคุณ เพื่อให้แน่ใจว่าฟันของคุณมีสุขภาพดีพอที่จะทำฟอกสีฟัน
- ทันตแทพย์จะให้คำปรึกษาและการวางแผนการฟอกสีฟัน อธิบายถึงการฟอกสีฟันแบบต่างๆ เพื่อให้คุณได้เลือกตามความเหมาะสมของแต่ละบุคคล
- ตรวจสอบว่ามีความจำเป็นที่จะต้องทำการรักษาอื่น ๆ ก่อนการฟอกสีฟันหรือไม่ เช่น การขูดหินปูน เพื่อขจัดคราบพลัดและหินปูนออก เพื่อให้น้ำยาฟอกสีฟันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด หรือถ้ามีฟันผุบางตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกับบริเวณที่จะฟอกสี จะต้องทำการอุดฟันก่อน หรือในกรณีที่เป็นโรคเหงือกอักเสบ จำเป็นจะต้องทำการขูดหินปูน รักษาโรงเหงือกก่อน จึงจะสามารถทำการฟอกสีฟันได้
ประเภทของการฟอกสีฟัน
การฟอกสีฟันแบ่งเป็น 2 ประเภท ได้แก่
1. การฟอกสีฟันที่คลินิก โดยทันตแพทย์
การฟอกสีฟันที่คลินิก คือการฟอกสีฟันที่ใช้เครื่องฉายไฟ LED cool light กระตุ้นการทำปฎิกริยาของสารฟอกสีฟันกับผิวฟันให้เกิดเร็วขึ้น โดยวิธีนี้เป็นที่นิยมอย่างมากเพราะใช้ระยะเวลาเพียงไม่นาน ประมาณ 30-45 นาทีเท่านั้น และเห็นผลทันทีหลังจากทำเสร็จ มีความปลอดภัยสูง เพราะทันตแพทย์จะเป็นผู้ดูแลทุกขั้นตอน
ขั้นตอนการฟอกสีฟันที่คลินิก
- ขั้นตอนที่ 1 – การขัดฟัน และทำความสะอาดฟัน ทำการเทียบสีฟันก่อนการรักษา
- ขั้นตอนที่ 2 – ใส่เครื่องมือกันแก้ม เพื่อทำการแยกแก้ม ป้องกันน้ำยาฟอกสีฟันโดนริมฝีปาก
- ขั้นตอนที่ 3 – ทำการปิดขอบเหงือกบริเวณคอฟันซี่ที่จะทำการฟอกสีฟันด้วยเรซิ่น หลังจากนั้นจึงทำการทาเจลฟอกสีฟันลงบนตัวฟัน
- ขั้นตอนที่ 4 – กระตุ้นให้น้ำยาฟอกสีฟันฟันทำงาน โดยแต่ละระบบก็จะมีกลไกที่แตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็น ระบบฟอกสีฟันด้วยแสง ZOOM หรือฟอกสีฟันด้วยเลเซอร์ หรือ ฟอกสีฟันด้วยแสงเย็น LED
- ทำขั้นตอนที่ 4 เมื่อครบเวลาประมาณ 15 นาที ดูดเช็ดน้ำยาเก่าออก และทำซ้ำอีก 1-2 รอบ ตามความเหมาะสม ระยะเวลาในการรักษาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับฟันของแต่ละบุคคล
2. การฟอกสีฟันที่บ้านด้วยตัวเอง
การฟอกสีฟันที่บ้านเหมาะกับคนที่ฟอกสีฟันที่คลินิกแล้ว แต่ยังคงต้องการความขาวมากขึ้น หรือ คนที่ต้องการฟอกสีฟันแต่ไม่มีเวลามากนัก
ขั้นตอนการฟอกสีฟันที่บ้านด้วยตัวเอง
- ขั้นตอนที่ 1 – ทันตแพทย์จะทำการตรวจสภาพฟัน หากมีคราบหินปูนต้องทำการขูดหินปูนออกก่อน หลังจากนั้นจึงทำการพิมพ์ปากเพื่อทำถาดฟอกสีฟัน
- ขั้นตอนที่ 2 – หลังจากพิมพ์ฟันประมาณ 1 สัปดาห์ ทันตแพทย์จะนัดมารับถาด และน้ำยาฟอกสีฟัน และทำการสอนวิธีการใช้ชุดฟอกสีฟัน โดยการแต้มน้ำยาบนถาดฟอกสีฟันเฉพาะบริเวณที่ต้องการฟอกและสวมใส่ครั้งละประมาณ 5 – 8 ชั่วโมง
ส่วนใหญ่แล้วทันตแพทย์จะแนะนำให้ฟอกก่อนนอนและทิ้งไว้ทั้งคืน หรือในรายที่มีอาการเสียวฟัน ก็อาจจะลดชั่วโมงในการใส่น้ำยาลง
การฟอกฟันแบบนี้ถือว่ามีความสะดวก เพราะไม่ต้องมาพบแพทย์บ่อยๆ เนื่องจากตัวถาดฟอกสีฟันสามารถเก็บไว้ใช้ได้นาน เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานแล้วอยากฟอกสีฟันใหม่ก็สามารถมาซื้อน้ำยาฟอกสีฟันที่คลินิกกลับไปทำการฟอกเองได้ นอกจากนี้ราคาก็อาจจะถูกกว่า แต่ต้องอาศัยเวลานาน และมีวินัยในการทำบ่อยๆ เนื่องจากน้ำยาที่ใช้ในการฟอกจะมีความเข้มข้นน้อยกว่าการฟอกสีฟันที่คลินิก
การดูแลหลังฟอกสีฟัน ให้ฟันขาวนานยิ่งขึ้น
หลังจากฟอกสีฟันเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาฟัน รวมถึงเรื่องของอาหารการกินและเครื่องดื่ม ซึ่งบางประเภทกินได้และบางประเภทกินไม่ได้ในช่วง 48-72 ชั่วโมง เพื่อให้มีฟันขาวสดใสไปนาน ๆ
- ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มที่ก่อให้เกิดคราบสีบนฟันเช่น การดื่มชา กาแฟ ไวน์แดง รวมถึงการงดสูบบุหรี่ อย่างน้อย 1 สัปดาห์
- การดูแลรักษาความสะอาดอย่างถูกวิธีจะสามารถช่วยรักษาความขาวให้อยู่ได้นานมากขึ้น
- ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหรือเครื่องดื่มที่ร้อน เย็นหรือมีความเป็นกรดสูงเกินไป เนื่องจากอาจทำให้มีอาการเสียวฟันมากยิ่งขึ้น
- รับประทานยาแก้ปวด เช่น Ponstan สามารถช่วยลดอาการเสียวฟันได้
- แปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์สูง หรือมีสารกันเสียว สามารถช่วยลดอาการเสียวฟันได้
- กรณีที่เกิดจากการฟอกสีฟันแบบทำเองที่บ้าน ควรลดเวลาในการใส่ถาดฟอกสีฟันลง หรือ ทิ้งช่วงห่างระหว่างการฟอกสีฟันแต่ละครั้งให้มากขึ้น (เช่น หากปกติใส่ถาดฟอกสีฟันครั้งละ 6 ชั่วโมง ก็ควรลดลงให้เหลือเพียง 5 ชั่วโมง หรือในบางกรณีที่ทำทุกวัน ก็ให้ทำวันเว้นวัน เป็นต้น)
ผลหลังจากการฟอกสีฟันเราไม่สามารถทำนายได้ว่าฟันจะขาวขึ้นมากน้อยเพียงใด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับส่วนประกอบของฟันของแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันออกไปในขณะที่มีการสร้างฟัน
คำถามเกี่ยวกับการฟอกสีฟัน
ฟอกสีฟันดีมั้ย?
สำหรับคนที่ลังเลใจว่าจะฟอกสีฟันดีไหม ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า การฟอกสีฟัน นับเป็นหนึ่งวิธีทางทันตกรรมที่ช่วยเรียกคืนความขาวสะอาดของสีฟันที่ขาวสดใส ให้กลับคืนมา หากคุณมีปัญหาเรื่องลักษณะฟันมีคราบเหลือง หรือฟันสีไม่สม่ำเสมอ ไม่มั่นใจในรอยยิ้ม และมีความต้องการมีรอยยิ้มที่มีฟันขาวใส ดูสะอาด ในระยะเวลาอันรวดเร็ว การฟอกสีฟันก็ถือว่าตอบโจทย์สำหรับคุณ เพราะการฟอกฟันทำได้ง่ายๆ และไม่ต้องเสียเวลาในการรักษาดูแลนาน ก็สามารถเพิ่มความมั่นใจ และมีฟันขาวน่ามองได้แล้ว
ฟอกสีฟันอยู่ได้นานไหม?
หลังจากทำการฟอกฟันขาวไปแล้ว จะอยู่ได้ ประมาณปีครึ่งถึงสองปี ทั้งนี้ ขึ้นอยู่ที่พฤติกรรมการใช้รับประทานอาหาร และเครื่องดื่ม หรือการสูบบุหรี่ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วหากไม่ได้รับประทานอาหารสีจัดๆ หรือดื่มชา กาแฟ บ่อยๆ สีจะหมองลงโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 1 ปี
ฟอกสีฟันอันตรายมั้ย?
การฟอกสีฟันไม่ทำให้ฟันบางลง จึงไม่มีผลต่อความแข็งแรงของฟันหรือทำให้ฟันบางลงแต่อย่างใด เพียงแต่อาจมีผลข้างเคียงคือมีอาการเสียวฟันประมาณ 1-2 วันหลังทำ
ฟอกสีฟันแล้วมีอาการเสียว เกิดจากอะไร?
ฟอกสีฟันแล้วมีอาการเสียว เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
1. ในผู้ที่มีฟันผุ เหงือกอักเสบ หรือฟันร้าว หากทำการฟอกสีฟันจะมีอาการเสียวฟันมากกว่าคนปกติ
2. เกิดจากอาการเหงือกร่น รากฟันโผล่ ซึ่งอาการเสียวฟันนั้นจะเกิดจากการที่รากฟันไม่มีสารเคลือบฟัน จึงทำให้ไวต่อสิ่งกระตุ้นภายนอก เช่น ความร้อนจัด ความเย็นจัด รสหวาน รสเปรี้ยว เป็นต้น จึงทำให้มีอาการเสียวฟันจากการทำฟอกฟันขาวได้ ควรปรึกษาทันตแพทย์เพิ่มเติมว่าสามารถฟอกสีฟันได้หรือไม่ หรืออาจต้องทำการอุดฟันก่อนหรือไม่
3. เกิดจากระหว่างที่สารฟอกสีฟันเข้าไปทำปฏิกริยาที่ชั้นเคลือบฟันเพื่อให้เม็ดสีแตกตัว โดยกระบวนการนี้อาจทำให้เกิดอาการเสียวฟันได้ แต่จะเป็นเพียงชั่วคราวประมาณ 1-2 วันท่านั้น
การดูแลหลังฟอกสีฟัน ให้ฟันขาวนานยิ่งขึ้น
หลังจากฟอกสีฟันเรียบร้อยแล้ว ทันตแพทย์จะให้คำแนะนำในการดูแลรักษาฟัน รวมถึงเรื่องของอาหารการกินและเครื่องดื่ม ซึ่งบางประเภทกินได้และบางประเภทกินไม่ได้ในช่วง 48-72 ชั่วโมง เพื่อให้มีฟันขาวสดใสไปนาน ๆ
- ควรหลีกเลี่ยงอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีสีเข้ม เช่น กาแฟ น้ำอัดลม ชา ไวน์ เพราะจะทำให้สีฟันค่อย ๆ เข้มขึ้น หากจำเป็นต้องดื่ม ควรบ้วนปากหลังดื่มเสร็จทุกครั้ง
- งดสูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่ทำให้เกิดคราบบนผิวฟัน หากทำความสะอาดได้ไม่ดี จะทำให้ฟันกลับมาเหลืองเร็วกว่าคนที่ไม่สูบบหรี่
- แปรงฟัน และใช้ไหมขัดฟัน ทำความสะอาดฟันอย่างถูกต้องและเป็นประจำ จะทำให้เศษอาหารและคราบจากเครื่องดื่มติดบนผิวฟันได้ยาก
- ตรวจสุขภาพฟันกับทันตแพทย์ทุกๆ 6 เดือน เพื่อสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี
บทสรุป
การฟอกฟันขาว มีทั้งรูปแบบที่ทำเองที่บ้านได้ รวมถึงการเข้ารับบริการกับทางทันตแพทย์โดยตรง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หากคุณต้องการฟอกสีฟันควรทำหรือได้รับคำแนะนำจากทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ถึงจะปลอดภัยและได้ผล และไม่แนะนำให้ฟอกสีฟัน หรือซื้อน้ำยาฟอกฟันขาวมาทำเองที่บ้านโดยไม่ได้รับคำปรึกษาจากเด็ดขาด เพราะมีโอกาสเสี่ยงต่อสุขภาพช่องปาก เช่น การอักเสบ การเสียวฟัน การระคายเคือง ความเสียหายของประสาทฟันตามมาได้